ช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลายคนอาจเริ่มได้ยินคำว่า “คอลลาเจนฉีด”, “คอลลาเจนสด” หรือชื่อเชิงวิชาการอย่าง Atelocollagen มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเวลาอ่านรีวิวหัตถการฟื้นฟูผิวหน้า แต่ในเชิงการแพทย์แล้ว Atelocollagen ไม่ได้เป็นแค่ “คอลลาเจนธรรมดา” ที่เอามาฉีดเท่านั้น หากแต่เป็น คอลลาเจนที่ถูกปรับโครงสร้างให้ปลอดภัยและเข้ากับร่างกายได้ดีขึ้น มีใช้ทางการแพทย์และเวชศาสตร์ฟื้นฟูมานานหลายสิบปี

บทความนี้จะชวนมาทำความเข้าใจว่า Atelocollagen คืออะไร ทำไมถึงต่างจากคอลลาเจนแบบกิน–แบบทาที่คุ้นเคย ใช้รักษาอะไรได้บ้าง เหมาะกับปัญหาผิวแบบไหน รวมถึงวิธีเลือกคลินิกให้ปลอดภัยในมุมมองของคนที่จริงจังกับผิวและสุขภาพ

ปัจจุบันใคร ๆ ก็พูดถึง “คอลลาเจน” ไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจนแบบกิน แบบทา ไปจนถึงการฉีดสารเติมเต็มผิวที่เกี่ยวข้องกับคอลลาเจนหนึ่งในนั้นคือ atelocollagen ซึ่งมักถูกเรียกเล่น ๆ ว่า “คอลลาเจนสดฉีดผิว” แต่ในมุมมองทางการแพทย์ จริง ๆ แล้ว atelocollagen มีความเฉพาะมากกว่านั้น และมีงานวิจัยรองรับการใช้ทั้งในวงการแพทย์และผิวหนังความงามด้วย

ทำไม “คอลลาเจน” ถึงสำคัญกับผิว

ก่อนจะไปถึง atelocollagen ขอมองภาพรวมคอลลาเจนในผิวก่อนสั้น ๆ

  • คอลลาเจนเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักในชั้นหนังแท้ (dermis)
  • ทำหน้าที่เหมือน “โครงสร้างค้ำยัน” ให้ผิวดูแน่น กระชับ และยืดหยุ่น
  • เมื่ออายุมากขึ้น แสงแดด มลภาวะ การสูบบุหรี่ ความเครียด ฯลฯ ทำให้คอลลาเจนเสื่อมและถูกทำลายเร็วขึ้น
  • ผลที่เห็นได้คือ ผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย ร่องลึก แก้มตอบ หน้าดูโทรม

ดังนั้น การดูแลผิวในกลุ่มชะลอวัย จึงมักเกี่ยวข้องกับการ

  1. ป้องกันไม่ให้คอลลาเจนถูกทำลายเพิ่ม (กันแดด, anti-oxidant ฯลฯ)
  2. กระตุ้นหรือเสริมโครงสร้างคอลลาเจนเดิมให้แข็งแรงขึ้น

Atelocollagen อยู่ในกลุ่มที่ 2 คือเป็น “ตัวช่วยโครงสร้าง” ที่เติม หรือทำหน้าที่เป็นสันหลังคอลลาเจน/สแกฟโฟลด์ให้ผิวฟื้นตัวได้ดีขึ้น

ทำไมต้องเป็น Atelocollagen?

คอลลาเจนดิบจากสัตว์มีโอกาสกระตุ้นภูมิแพ้ เพราะมีส่วน telopeptide ติดอยู่ การเปลี่ยนให้เป็น Atelocollagen ช่วยให้

  • ลดโอกาสเกิดอาการแพ้และการอักเสบเกินจำเป็น
  • ยังรักษาโครงสร้าง triple helix ของคอลลาเจนไว้ ทำให้ทำหน้าที่เป็น “โครงสร้างค้ำยัน” ผิวได้ดี
  • เหมาะกับการฉีดเข้าเนื้อเยื่อ หรือใช้เป็นแผ่น/เจลในงานสมานแผลและฟื้นฟูผิว

ต่างจาก

  • คอลลาเจนแบบกิน – เน้นเป็นกรดอะมิโน/เพปไทด์ ใช้เป็นวัตถุดิบให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเอง
  • คอลลาเจนในครีม – เน้นให้ความชุ่มชื้นผิวชั้นบน ไม่ได้ลงลึกถึงชั้นหนังแท้
  • เจลาติน – โครงสร้างถูกทำลายแล้ว ใช้ในอาหารหรือบางผลิตภัณฑ์ด้านวัสดุ แต่ไม่ใช่คอลลาเจนในแบบที่ผิวใช้เป็นโครงสร้าง

Atelocollagen จึงเป็นคอลลาเจนที่ถูกออกแบบมาเพื่อ “อยู่ในร่างกาย” จริง ๆ มากกว่าแค่ผ่านทางระบบย่อยอาหารหรือเคลือบผิวด้านนอก

กลไกการทำงานของ Atelocollagen เมื่อฉีดเข้าผิว

เมื่อฉีด Atelocollagen ลงในชั้นหนังแท้ จะเกิดผลหลัก ๆ 2 อย่าง

  1. เติมเต็ม (Filling Effect)
    • เจลคอลลาเจนช่วยเติมช่องว่างใต้ผิว
    • ร่องเล็ก–ร่องปานกลาง (เช่น ร่องแก้มตื้น ๆ ริ้วรอยเล็กบางตำแหน่ง) ดูตื้นขึ้นทันทีระดับหนึ่ง
    • ผิวดูอิ่มฟู เนียนขึ้น
  2. เป็นโครงสร้างรองรับ (Scaffold Effect)
    • เซลล์ไฟโบรบลาสต์ในชั้นหนังแท้มาเกาะบนโครงสร้าง Atelocollagen
    • ค่อย ๆ สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
    • ผิวจึงแข็งแรงและเรียบเนียนขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์–หลายเดือน

จุดเด่นคือ ไม่ได้แค่เติม แต่วาง “โครางสร้าง” ให้ผิวสร้างตัวเองใหม่ได้ดีขึ้น เหมาะกับสายที่อยากฟื้นฟูคุณภาพผิว ไม่ใช่แค่ปั้นรูปหน้า

Atelocollagen ใช้ทำอะไรได้บ้างในคลินิกความงาม

ในงานผิวหนังความงาม Atelocollagen มักถูกใช้ใน 3 บริบทหลัก

ฟิลเลอร์คอลลาเจน (Injectable Atelocollagen Filler)

  • ใช้เติมร่องตื้น–ปานกลาง เช่น ร่องแก้ม มุมปาก ร่องเล็กบางจุด
  • ให้สัมผัสค่อนข้าง “เป็นธรรมชาติ” เพราะโครงสร้างใกล้เคียงคอลลาเจนจริง
  • เหมาะกับคนที่ต้องการผิวดูเต็มขึ้นเล็กน้อย เนียนขึ้น ไม่ต้องการเปลี่ยนโครงหน้ามาก

สกินบูสเตอร์ / เมโส Atelocollagen

  • ฉีดกระจายทั่วใบหน้า/ลำคอ เพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิว
  • ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ สุขภาพดี เนื้อผิวแน่นขึ้นเล็กน้อย
  • มักใช้ร่วมกับสารอื่น เช่น HA หรือวิตามิน เพื่อเพิ่มผลเรื่องความชุ่มชื้นและความใส

ใช้ร่วมกับหัตถการฟื้นฟูผิวอื่น

  • หลังเลเซอร์หลุมสิว, RF Microneedling
  • หลังหัตถการที่กระตุ้นคอลลาเจน เพื่อช่วยให้ผิวสร้างโครงสร้างใหม่ได้ดีขึ้น
  • ใช้เป็นวัสดุสมานแผลเรื้อรังหรือซ่อมเนื้อเยื่อหลายระบบในหลายประเทศ

ข้อดี – ข้อจำกัดของ Atelocollagen

ข้อดี

  • โครงสร้างใกล้เคียงคอลลาเจนในผิว → ผลลัพธ์เนียน ดูเป็นธรรมชาติ
  • โอกาสแพ้น้อยกว่าคอลลาเจนดิบ เพราะตัดส่วน telopeptide ออก
  • เป็นทั้งตัวเติมเต็ม + ตัวช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมผิว
  • มีการใช้ในงานแพทย์หลายด้านมานาน จึงมีข้อมูลด้านความปลอดภัยรองรับ

ข้อจำกัด

  • ผลลัพธ์ ไม่ถาวร อยู่ได้หลายเดือน–ประมาณ 1 ปี แล้วค่อย ๆ สลายไป
  • ต้องอาศัยแพทย์ที่มีเทคนิคการฉีดที่ดี หากฉีดผิดชั้น/ตำแหน่งอาจเกิดก้อนหรือผิวไม่เรียบ
  • คนที่มีประวัติแพ้โปรตีนจากสัตว์บางชนิด ต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด
  • ไม่ใช่คำตอบเดียวของทุกปัญหา บางเคสต้องใช้ร่วมกับฟิลเลอร์ HA, เครื่องยกกระชับ หรือเลเซอร์อื่น ๆ

ใครเหมาะกับ Atelocollagen และควรเตรียมตัวอย่างไร

เหมาะกับใคร

  • อายุ 25–30 ปีขึ้นไป เริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ ผิวไม่แน่นเหมือนเดิม
  • ผิวแห้ง ขาดน้ำ ใช้สกินแคร์แล้วรู้สึกว่า “ยังไม่พอ”
  • ต้องการผลลัพธ์แบบผิวดูดีขึ้น เนียนขึ้น ไม่เน้นปรับรูปหน้าเยอะ
  • ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและข้อมูลวิชาการรองรับ

กลุ่มที่ควรระวัง

  • หญิงตั้งครรภ์ / ให้นมบุตร
  • ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบางชนิด หรือใช้ยากดภูมิ
  • ผู้ที่มีโรคเลือดออกง่าย ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • บริเวณที่มีผื่น แผลติดเชื้อ หรือผิวอักเสบ ควรรอให้หายก่อน

การเตรียมตัวและดูแลหลังฉีด

ก่อนฉีด

  • แจ้งประวัติแพ้ยา/อาหาร/โปรตีนจากสัตว์
  • แจ้งยาทุกชนิดที่ทานอยู่
  • งดแอลกอฮอล์และเลี่ยงการขัดหน้า/เลเซอร์แรง ๆ ล่วงหน้าเล็กน้อย

หลังฉีด

  • ประคบเย็น ลดบวมและรอยช้ำ
  • งดออกกำลังกายหนัก ซาวน่า นวดหน้า ช่วง 24–48 ชั่วโมงแรก
  • ใช้สกินแคร์อ่อนโยนและทากันแดดอย่างสม่ำเสมอ

สรุป: Atelocollagen เหมาะไหม?

ถ้าคุณอยากขยับจากแค่การทาครีมและกินอาหารเสริม ไปสู่การฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากด้านใน แต่ยังอยากให้หน้าเป็นตัวเอง ไม่ได้เน้นปั้นรูปหน้าเยอะ Atelocollagen เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก

อย่างไรก็ตาม การจะเลือกใช้ Atelocollagen, ฟิลเลอร์ HA, สกินบูสเตอร์ชนิดอื่น หรือเครื่องมือยกกระชับ ควรให้แพทย์ประเมินรูปหน้าและสภาพผิวจริงก่อนเสมอ เพื่อออกแบบ “แผนฟื้นฟูผิว” ให้ตรงกับเป้าหมาย งบประมาณ และไลฟ์สไตล์ของคุณที่สุด

อ้างอิง

บทความที่คล้ายกัน