คีลอยด์คืออะไร?

คีลอยด์ (Keloid) คือแผลเป็นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะนูนแดง หนา และอาจขยายใหญ่กว่าขอบเขตของแผลเดิม ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไปในระหว่างกระบวนการสมานแผล โดยมักเกิดขึ้นหลังจากบาดแผล ผ่าตัด สิว หรือแม้แต่แผลถลอกเล็กน้อยในบางคน

คีลอยด์แตกต่างจากแผลเป็นนูนทั่วไป (Hypertrophic scar) ตรงที่ ลุกลามออกนอกขอบแผลเดิมได้ และอาจคงอยู่ได้นานหลายปีหรือไม่ยุบเลย

แผลเป็นคีลอยด์

ลักษณะของคีลอยด์

  • สีแดงหรือชมพูในระยะแรก
  • ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือม่วงในคนผิวคล้ำ
  • ผิวหนา แข็ง อาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย
  • ขยายขอบเขตกว้างกว่าบาดแผลเดิม
  • มักพบที่หน้าอก แผ่นหลัง ไหล่ กราม ใบหู และช่วงต้นแขน

สาเหตุของการเกิดคีลอยด์

  • พันธุกรรม: คนในครอบครัวมีประวัติคีลอยด์
  • สีผิว: คนผิวคล้ำมีแนวโน้มเกิดคีลอยด์มากกว่าคนผิวขาว
  • ตำแหน่งของแผล: บริเวณที่ผิวตึงหรือเคลื่อนไหวบ่อย เช่น หน้าอก ไหล่
  • บาดแผลที่เกิดการอักเสบรุนแรง เช่น สิวอักเสบ ฝี หรือผ่าตัด

คีลอยด์อันตรายหรือไม่?

แม้คีลอยด์จะไม่ก่อให้เกิดมะเร็งหรืออันตรายต่อชีวิต แต่ในบางคนอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต เช่น:

  • ความไม่มั่นใจเรื่องความสวยงาม
  • เจ็บ คัน หรือรบกวนการเคลื่อนไหว
  • มีผลทางจิตใจหากเกิดบริเวณใบหน้า หรือจุดที่สังเกตเห็นได้ง่าย

วิธีรักษาคีลอยด์ที่นิยม

ฉีดยาสเตียรอยด์ (Intralesional Steroid Injection)

  • เป็นวิธีที่ใช้แพร่หลายที่สุด
  • ฉีดเข้าไปตรงแผลเพื่อยับยั้งการสร้างคอลลาเจน
  • ต้องทำซ้ำทุก 2–4 สัปดาห์ ประมาณ 3–6 ครั้ง

ข้อดี: ลดความนูนและคันได้ดี
ข้อควรระวัง: ผิวบางลง รอยคล้ำ หรือรอยบุ๋ม

แนวทางป้องกันการเกิดคีลอยด์

  • หลีกเลี่ยงการบีบสิวหรือแคะเกาจนผิวบาดเจ็บ
  • หากมีประวัติคีลอยด์ ควรแจ้งแพทย์ก่อนการผ่าตัด
  • หมั่นดูแลแผลให้สะอาด ลดการอักเสบ
  • ใช้แผ่นซิลิโคนหรือครีมลดรอยแผลเป็นตั้งแต่แผลเริ่มหาย

สรุป

คีลอยด์ เป็นแผลเป็นนูนที่เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินหลังการบาดเจ็บ ถึงแม้จะไม่อันตราย แต่ส่งผลต่อความมั่นใจของผู้ป่วยได้ หากเริ่มมีอาการ ควรเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรก เพื่อให้การควบคุมแผลมีประสิทธิภาพ และป้องกันการลุกลามในอนาคต